Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันนี้ วันแม่ **12 สิงหาคม**

          วันแม่ปีนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้าน จ.ขอนแก่น เนื่องจากใกล้สอบแล้ว แม่ก็เลยไม่อยากให้กลับจะได้อ่านหนังสือเยอะๆเตรียมสอบ ข้าพเจ้าอยู่กรุงเทพมหานครในวันนี้ รู้สึกเหงาๆอย่างบอกไม่ถูก ใจจริงอยากกลับบ้านมากๆแต่ด้วยหน้าที่จึงจำเป็นต้องจำใจอยู่ที่นี่ ...... คิดถึงแม่ คิดถึงยาย คิดถึงตา และน้อง ทุกคนคือครอบครัวที่เหลืออยู่ของข้าพเจ้า นับแต่วันที่ครอบครัวเราได้สูญเสียพ่อผู้เป็นที่รักไป เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรักความเข้าใจ ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน

**********************************************************

         ข้าพเจ้าได้เตรียมของขวัญไว้ให้แก่ แม่ผู้เสียสละ.. แม่ที่รักลูกมากที่สุด .. แม่ที่ยอมทนลำบากเพื่อลูกมาตลอด หนูอยากกอดแม่ค่ะ ........หนูรักแม่

          ยาย เปรียบเสมือนแม่คนที่ 2 ยายเลี้ยงข้าพเจ้ามาตั้งแต่เล็ก เนื่องจากแม่มีลูกหัวปีท้ายปี ข้าพเจ้าจึงมียายคอยดูแลเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ นอนด้วยกันมาตลอด จนถึงทุกวันนี้ กลับไปชุมพรข้าพเจ้าก็ยังจะนอนกับยายของข้าพเจ้าเสมอๆ ข้าพเจ้าก็ได้เตรียมของขวัญไว้ให้สำหรับ คุณยายผู้แสนดีที่ข้าพเจ้ารักและเตรียมให้กับคุณตา พ่อคนที่2 ของข้าพเจ้าด้วยค่ะ


********************************************************************************


ของแม่ เป็นเสื้อแบบที่แม่ชอบใส่ค่ะ

--------------------------------------------------------------------------------------------------




ของยาย เป็นเสื้อร่วมสมัย ที่น่ารักมากๆค่ะ



คาบาน่า จ.ชุมพร ไปมาแล้วหลายหนจ้า

คาบาน่า ...........



    คาบาน่า จังหวัดชุมพร (Cabana Chumphon) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพร มีทะเลที่สวยงาม ส่วนมากในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดต่างๆจะมีคนเยอะมาก เช่น วันสงกรานต์ วันปีใหม่ เป็นต้น  ครอบครัวจะพาเด็กๆมาเล่นน้ำทะเล มาพักผ่อนกัน ทำอาหารกินกัน หรือจะกินอาหารตามร้านที่ให้บริการอยู่รอบๆ ข้าพเจ้าไปเที่ยวกับน้องๆ ญาติๆกันหลายครั้งแล้ว วันนี้เลยได้หยิบยกเอา ภาพมาฝากกัน อาจจะหลอนบ้างบางภาพเพราะ หาความสวยไม่เจอเลยจริงๆค่ะ (ฮ่าๆ)  มาดูกันค่ะ







*** วันที่ไป คนไม่เยอะค่ะ มีฝรั่งมาอาบแดดบ้าง .......มืดมากใช่ไม๊ค่ะ ภาพ พอดีว่าแม่กับน้าเป็นคนถ่าย ย้อนแสงค่ะ เลยไม่สวย **


การเดินทาง สู่ถนนสายใต้


                     ชุมพร....บ้านฉัน  My hometown is Chumphon , Thailand.


             การเดินทางไปภาคใต้ สู่จังหวัดชุมพรในหลายๆครั้งนั้น  เนื่องมาจากความจำเป็นบางประการ เช่น  งานสำคัญของญาติพี่น้อง  คนในครอบครัวไม่สบาย หรือ อาจจะเป็นเพราะคิดถึงบ้าน แต่สำหรับข้าพเจ้า  แล้วคิดว่า อย่างหลังน่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ข้าพเจ้า น้องชาย และแม่ อยู่ไกลกันคนละจังหวัด 











             - แม่อยู่ขอนแก่นทำกิจการค้าขาย (ผลไม้)

            -  น้องชาย อยู่จังหวัดหนองคาย กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาขอนแก่น
               วิทยาเขตหนองคาย    (รัฐประศาสนศาสตร์)

            -   ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้นอยู่กรุงเทพมหานคร   
               กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ศึกษาศาสตร์ เอกวิทยาศาสตร์)








        จังหวัดชุมพรเป็นบ้านเกิดของข้าพเจ้า น้องชาย และแม่ เราได้ย้ายมาขอนแก่น ตอนเข้ามัธยมต้น เนื่องด้วยพ่อรับข้าราชการตำรวจและ  ได้ทำเรื่องย้ายไปภูมิลำเนาของพ่อที่จังหวัดขอนแก่น 


                การเดินทางสู่จุดหมายปลายทางจังหวัดชุมพรนั้นกินระยะเวลานานถึง 8-10 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 1000 กิโลเมตร จากขอนแก่น ไป ชุมพร นานมากเลยทีเดียว แต่ดีที่น้องชายขับรถแทนแม่เลยสบายหน่อยค่ะ ข้าพเจ้าจะนั่งข้างหน้าเป็นเพื่อนน้องส่วนแม่จะนอนคนเดียวด้านหลัง   ขับไปเรื่อยๆไม่ได้รีบร้อนอะไรค่ะ จอดปั๊มเข้าเซเว่น ซื้อขนมกินเล่นกัน 2 คน พี่น้องอยู่บ่อยๆ แม่ก็บ่นบ้าง แต่ก็ต้องยอมเพราะคนนั่งเฝ้า+คนขับ ไม่ยอมแพ้ง่ายหรอกค่ะ  (ขำๆกันไป) เมื่อถึงที่หมายก็ช่วยกันเอาของฝากมากมายที่แม่ซื้อมาแจกญาติๆลงจากรถอีก จากนั้นก็เป็นเวลาแห่งการพบปะพูดคุยกันในครอบครัวค่ะ




คุณยาย + คุณตา (ด้านหลัง) ที่ข้าพเจ้า แม่และน้อง รักมากที่สุด


********************************************************************


++++++++++วันหน้าจะเอาภาพของญาติๆที่มีมหาศาล มาฝากกันนะค่ะ  สวัสดีค่ะ+++++++++

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความทรงจำกับครอบครัว


แม่ + น้องชาย + เจ้าของบล็อก

   สถานที่ : ภูฝอยลม จังหวัดอุดรธานี




แม่กับแปลงดอกไม้อันสวยงาม อากาศในเวลานี้ กำลังหนาวๆเลยค่ะ สบายๆไม่ร้อน





น้องชาย...... ในดงทิวลิป






วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การเขียนโครงงานวิทยาศาสตร์

โครงงานวิทยาศาสตร์
                                                    ขอบคุณภาพจาก http://www.montfort.ac.th/

-     คือ การที่นักเรียนมีปัญหา หรือข้อสงสัย แล้วนำปัญหานั้นไปทดลองศึกษาแก้ปัญหา โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แล้วนำผลงานมาเสนอวิเคราะห์
-     เป็นการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แล้วรวบรวมสรุป วิเคราะห์ รายงานผลที่ได้จากการศึกษา

     ความสำคัญของโครงงานวิทยาศาสตร์

            การศึกษาค้นคว้าด้วยโครงงานวิทยาศาสตร์ ช่วยให้นักเรียนเกิด  การเรียนรู้ มีประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงฝึกแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะติดตัว
ผู้เรียนไปตลอด   เมื่อมีข้อสงสัย หรือปัญหาเกิดขึ้น จะแก้ปัญหา โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าความรู้ที่ขาดการปฏิบัติ ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าว
 จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และกล้าแสดงออก


โครงงานวิทยาศาสตร์ ทำได้หลายรูปแบบ 
                  โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง   โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสำรวจ 
                  โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์  โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททฤษฎี
    แต่ที่นักเรียนนิยมทำกัน มี3ประเภท คือ ทดลอง สำรวจ   และสิ่งประดิษฐ์   สำหรับ
   ประเภท ทฤษฎี เหมาะสมสำหรับระดับมัธยมปลาย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ชั้นสูง

 โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง 
   มีการออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรต้น ที่มีผลต่อ
  ตัวแปรตาม โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อผลการทดลอง

 โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททฤษฎี
         เป็นโครงงานที่ผู้ทำโครงงาน ได้เสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ ๆ
         ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือ คำอธิบายก็ได้

  โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทประดิษฐ์
   เป็นโครงงานที่เกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์ เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยต่าง ๆ อาจคิดประดิษฐ์ของใหม่ ๆ หรือดัดแปลง ปรับปรุง ของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

 โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสำรวจ
    เป็นการสำรวจรวบรวมข้อมูล แล้วนำมาจำแนกเป็นหมวดหมู่นำมาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะ หรือรูปแบบสัมพันธ์ของเรื่องที่ศึกษาได้ชัดเจนขึ้น

 วิธีการทางวิทยาศาสตร์

1.กำหนดปัญหา
2.ตั้งสมมติฐาน
3.รวบรวมข้อมูล
4.ทดลอง
5.สรุปผล

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

1.ทักษะการกำหนด และควบคุมตัวแปร
2.ทักษะการคำนวณ
3.ทักษะการจัดทำ และสื่อความหมายข้อมูล
4.ทักษะการจำแนกประเภท
5.ทักษะการตั้งสมมติฐาน
6.ทักษะการตีความหมาย
7.ทักษะการทดลอง
8.ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
9.ทักษะการพยากรณ์
10.ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
11.ทักษะการวัด
12.ทักษะการ สังเกต
13.ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับมิติ และมิติกับเวลา

ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร

 การกำหนดตัวแปร  เป็นการชี้บ่งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องการควบคุม
ในสมมติฐานหนึ่ง ๆ

     
การควบคุมตัวแปร   เป็นการควบคุมสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้น ถ้าหากไม่ควบคุม
ให้เหมือนๆ กัน ก็จะทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน

    
ตัวแปรต้น  คือ สิ่งที่เราต้องจัดให้แตกต่างกัน ซึ่งเป็นต้นเหตุ ทำให้เกิดผล ซึ่งเราคาดหวังว่าจะแตกต่างกัน

    
ตัวแปรตามคือ สิ่งที่เราต้องติดตามดู ซึ่งเป็นผลจากการจัดสถานการณ์บางอย่าง
ให้แตกต่างกัน

    
ตัวแปรควบคุม  คือ สิ่งที่เราต้องควบคุมจัดให้เหมือนกันเพื่อให้แน่ใจว่า ผลการทดลอง
เกิดจากตัวแปรต้นเท่านั้น

ทักษะการคำนวณ  คือ การนับจำนวนของวัตถุและการนำตัวเลขแสดงจำนวนที่นับได้
             มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือหาค่าเฉลี่ย

ทักษะการจัดทำและสื่อความหมายข้อมูล
เป็นการนำผลการสังเกต การวัด การทดลองจากแหล่งต่าง ๆ โดยการหาความถี่
เรียงลำดับ จัดแยกประเภท หรือคำนวณหาค่าใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย
ของข้อมูลดียิ่งขึ้น    โดยอาจเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร
กราฟ สมการ และการเขียนบรรยาย



ทักษะการ จำแนกประเภท
             คือ การแบ่งพวก หรือเรียงลำดับวัตถุ หรือสิ่งที่อยู่ในปรากฏการณ์
โดยใช้เกณฑ์ ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง


ทักษะการทดลอง
           มี3ประเภท  คือ การทดลองแบบแบ่งกลุ่ม เปรียบเทียบ ไม่มีกลุ่ม
เปรียบเทียบและลองผิดลองถูก

           การทดลองเป็นกระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบ หรือการทดสอบ
สมมติฐานที่ตั้งไว้ ประกอบด้วย3ขั้นตอน คือ  
การออกแบบการทดลอง
การปฏิบัติการทดลองและการบันทึกผลการทดลอง

ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
        คือ การกำหนดความหมายและขอบเขตของสิ่งต่าง ๆ
             (ที่อยู่ในสมมติฐานที่ต้องทดลอง)
             ให้เข้าใจตรงกัน และสามารถสังเกตหรือวัดไว้
ทักษะการพยากรณ์
         คือ การสรุปคำตอบล่วงหน้า ก่อนการทดลองโดยอาศัยประสบการณ์
         ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้น
         มาช่วยในการสรุป

     การพยากรณ์มีสองทาง

         คือ การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมูลที่มีอยู่และ
             การพยากรณ์นอกขอบเขตข้อมูลที่มีอยู่

ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
          คือ การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากากรสังเกตอย่างมีเหตุผล
              โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย


ทักษะการวัด 
          คือ การเลือกและการใช้เครื่องมือทำการวัดหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ
               ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสม และถูกต้อง
             โดยมีหน่วยกำกับเสมอ



ทักษะการ สังเกต
      คือ ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัส อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง
            เพื่อหาข้อมูล หรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เพิ่มความคิดเห็น
           ส่วนตัวลงไป

ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับมิติ และมิติกับเวลา
         วัตถุต่าง ๆ ในโลกนี้ จะทรงตัวอยู่ได้ ล้วนแต่ครองที่ที่ว่าง การครอง
        ที่ของวัตถุในที่ว่างนั้น โดยทั่วไปแล้วจะมี2มิติ ได้แก่ มิติยาว
        มิติกว้าง และมิติสูงหรือหนา


ขั้นตอน โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์  หมายถึง การทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง ที่ผู้ทำโครงงานจะต้องนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (secientific method) และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (science process) มาใช้เพื่อศึกษาหาทางแก้ปัญหาเรื่องใหม่ ๆ หรือประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ โดยผู้ทำโครงงาน เป็นผู้คิดเรื่องหรือเลือกเรื่องที่ต้องการศึกษา มีการวางแผนดำเนินการ (ลงมือปฏิบัติ) บันทึกผล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล และเสนอผลงานด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นจนสำเร็จทุกขั้นตอน




          ขั้นที่ 1 การคิดและเลือกชื่อเรื่องหรือปัญหาที่จะศึกษา

           
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่สำคัญที่สุดและยากที่สุด ตามหลักการแล้วนักเรียนควรจะเป็นผู้คิดและเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษาด้วยตนเอง แต่ครูอาจมีบทบาทหรือมีส่วนช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถคิดหัวข้อเรื่องได้ด้วยตนเอง ดังจะได้กล่าวต่อไป

          
 ขั้นที่ 2 การวางแผนในการทำโครงงาน
           ได้แก่ การวางแผนวิธีดำเนินงานในการศึกษาค้นคว้าทั้งหมด เช่น วัสดุอุปกรณ์ ที่จำเป็นต้องใช้ในการออกแบบการทดลอง และควบคุมตัวแปร วิธีดำเนินการรวบรวมข้อมูล การวางแผนปฏิบัติงานอย่างคร่าว ๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้างเป็นขั้นตอน แล้วนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม และขอความเห็นชอบ

          

    ขั้นที่ 3 การลงมือทำโครงงาน
           ได้แก่ การลงมือปฏิบัติตามแผนงานที่ได้วางไว้ล่วงหน้าแล้วในขั้นที่สองนั่นเอง ประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การสร้างหรือการประดิษฐ์ การปฏิบัติการทดลอง ซึ่งสุดแล้วแต่จะเป็นโครงงานประเภทใดและการค้นคว้าจากเอกสารต่าง ๆ แล้วดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งความหมายของข้อมูล และสรุปผลของการศึกษาค้นคว้า

    
ขั้นที่ 4 การเขียนรายงาน
           เป็นการเสนอผลของการศึกษาค้นคว้าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเป็นเอกสาร เพื่ออธิบายให้ผู้อื่นทราบรายละเอียดทั้งหมดของการทำโครงงาน ซึ่งจะประกอบด้วยปัญหาที่ทำการศึกษาวัตถุประสงค์ของการศึกษา วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ ข้อมูลต่าง ๆ ที่รวบรวมได้ ผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนประโยชน์และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้จากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์นั้น ๆ วิธีเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ก็มีลักษณะและแนวทางในการเขียน เช่นเดียวกับการเขียนรายงานผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์นั่นเอง
    ขั้นที่ 5 การแสดงผลงาน
           เป็นการเสนอผลงานที่ได้ศึกษาค้นคว้าสำเร็จลงแล้วให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจ ซึ่งอาจกระทำได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ การสาธิตแสดงประกอบการรายงานปากเปล่า ฯลฯ
           ในการจัดแสดงผลงานของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ครูอาจกระทำได้ในหลายระดับ เช่น 
              - การจัดเสนอผลงานภายในชั้นเรียน
              - การจัดแสดงนิทรรศการภายในโรงเรียนเป็นการภายใน
              - การจัดแสดงนิทรรศการในงานประจำปีของโรงเรียน
         - การส่งโครงงานเข้าร่วมในงานแสดงหรือประกวดภายนอกโรงเรียนในระดับต่าง ๆ            เช่น ระดับกลุ่มโรงเรียน ระดับจังหวัด  ระดับเขตการศึกษา และระดับชาติ เป็นต้น

      ขอบคุณภาพจาก www.google.co.th


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/thebeleth/story/view.php?id=425392#ixzz1QIs4rkcn



วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ครู (Teacher)

          ความหมายของครู อาจารย์ นั้นมีหลากหลายนัก นิยามของคำว่าครูของแต่ละบุคคลก็มีความแตกต่างกันไป สำหรับดิฉันแล้ว "ครู" เปรียบเสมือน พ่อหรือแม่คนที่สอง ที่อยากเห็นเราเป็นคนดีของสังคม ให้ความรู้ และทำให้เราสามารถเอาตัวรอดในสังคมเช่นนี้ได้   ครูมิได้เป็นเพียงแค่เรือจ้างเท่านั้น แต่เป็นทั้งคนผลัก และ ดันให้ศิษย์ ข้ามพ้นฝั่งไป แต่ยังคงเฝ้ามองอยู่เสมอว่าศิษย์จะใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคต หน้าที่ของครูไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ นอกจากจะเป็นแม่พิมพ์ของชาติแล้ว ครูยังต้องทำหน้าที่หลายๆด้านพร้อมๆกัน จึงเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละ เลิกงานไม่ตรงเวลา เวลาอยู่กับครอบครัวแทบจะไม่มี แต่ดิฉันก็มีความภาคภูมิใจในครูของดิฉันทุกคนตั้งแต่ดิฉันได้เข้ามาศึกษา ชั้นอนุบาล ประถม มัธยม จนถึงระดับปริญญาตรี  แรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันจะเป็นครู คือ คุณค่าของตัวเราที่เราสามารถจะมอบให้กับคนอื่น นั่นก็คือ " วิชาความรู้ "




ครู และ อาจารย์ แตกต่างกันตรงไหน­ 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้ความหมายของคำว่า ครู ไว้ว่า ผู้สั่งสอนศิษย์ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ โดยมีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี สันสกฤต ว่า คุรุ ซึ่งหมายถึง หนัก
ส่วนคำว่า อาจารย์ หมายถึง ผู้สั่งสอนวิชาความรู้ หรือคําที่ใช้เรียกนําหน้าชื่อบุคคลเพื่อแสดงความยกย่องว่ามีความรู้ในทางใดทางหนึ่ง มาจากภาษาบาลี สันสกฤตว่า อาจริย” ซึ่ง จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ
          จากความหมายดังกล่าว การทำหน้าที่แต่เพียงถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ จึงยังไม่เพียงพอที่จะเป็น ครูหรือ อาจารย์ แต่จะต้องประกอบด้วยการทุ่มเทกายใจในการถ่ายทอดความรู้รวมถึงการเป็นแบบอย่างที่ดีด้านความประพฤติ
 โดยนัยยะ จะเป็น ครู หรือ อาจารย์ จึงไม่ใช่ของง่าย ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ว่า คำว่า “ครู” เป็นคำที่สูงมาก เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็นำให้เกิดทางวิญญาณไปสู่คุณธรรมเบื้องสูง เป็นเรื่องทางจิตใจโดยเฉพาะ มิได้หมายถึงเรื่องวัตถุ



การเป็นครูนั้นไซร้ไม่ลำบาก
แต่สอนดีนั้นยากเป็นหนักหนา
เพราะต้องใช้ศิลปวิทยา
อีกมีความเมตตาอยู่ในใจ  *** ( มล.ปิ่น มาลากุล )